คลิกที่ไอคอน...เลยครับ
วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554
Youtube
Youtube คืออะไรเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการแลกเปลี่ยนภาพวิดีโอระหว่างผู้ใช้ได้ฟรี โดยนำเทคโนโลยีของ Adobe Flash มาใช้ในการแสดงภาพวิดีโอ ซึ่งยูทูบมีนโนบายไม่ให้อัปโหลดคลิปที่มีภาพโป๊เปลือยและคลิปที่มีลิขสิทธิ์ นอกเสียจากเจ้าของลิขสิทธิ์ได้อัปโหลดเอง
เมื่อสมัครสมาชิกแล้วผู้ ใช้จะสามารถใส่ภาพวิดีโอเข้าไป แบ่งปันภาพวิดีโอให้คนอื่นดูด้วย แต่หากไม่ได้สมัครสมาชิกก็สามารถเข้าไปเปิดดูภาพวิดีโอที่ผู้ใช้คนอื่น ๆ ใส่ไว้ใน Youtube ได้ แม้จะก่อตั้งได้เพียงไม่นาน (youtube ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005) Youtube เติบโตอย่างรวดเร็วมาก เป็นที่รู้จักันแพร่หลายและได้รับความนิยมทั่วโลก ต่อมาปี ค.ศ.2006 กูเกิ้ลซื้อยูทูบ ตอนนี้ยูทูบจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของกูเกิ้ลแล้ว
ข้อดีของ Youtube
Youtube เป็นเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้จากทั่วโลกเพื่อโพสต์การสร้างภาพของตัวเองและสิ่งที่พวกเขาได้บันทึกไว้
ในการเริ่มต้นกับ Youtube คุณสามารถชมวิดีโอในฐานะแขกหรือถ้าคุณกำลังมองหาที่อัพโหลดสร้างบัญชี กระบวนการสร้างบัญชีง่ายมากและคุณสามารถมีวิดีโอที่อัปโหลดในเวลาไม่กี่นาที
ผู้ใช้ซอฟต์แวร์ที่เป็นมิตรของ Youtube ช่วยให้คุณสามารถสร้างชื่อและแก้ไขวิดีโอต่างๆที่ชื่นชอบของคุณ
ประโยชน์ของการใช้ Youtube เมื่อเทียบกับไซต์วิดีโออื่น ๆ เป็นห้องว่างเนื้อหา เป็นเว็บไซต์ที่ง่ายมากที่จะใช้ที่มีวิดีโอพร้อมที่จะดูที่คลิกปุ่ม กับการพัฒนาของเทคโนโลยีและกระบวนการของวิดีโอถูกพึ่งต่ออินเตอร์เน็ตความเร็วการเชื่อมต่อของคุณ, YouTube ได้สร้างความสามารถในการข้ามไปยังส่วนหนึ่งของวิดีโอที่คุณต้องการจะดูโดยไม่ต้องอดทนรอสักครู่ในการโหลดครั้งแรกหรือ ส่วนสุดท้ายของวิดีโอ นอกจากนี้ยังง่ายในการชมเทคโนโลยีวิดีโอง่ายที่จะอัปโหลดขั้นตอนการสร้างประโยชน์หลายประการเมื่อเทียบกับเว็บไซต์อื่น ๆ อัปโหลดเป็นง่ายๆเป็นตำแหน่งของเสียงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณและคลิกอัพโหลด Youtube ไม่ทั้งหมดของส่วนที่เหลือสำหรับคุณด้วยการสร้างชื่อและภาพรวมทั่วไป
ประโยชน์ของการใช้ Youtube ก็คือความสามารถในการถ่ายทอดไปยังผู้ชมนับล้านที่ สามารถใช้ได้ในเกือบทุกประเทศในโลกและคอมพิวเตอร์ที่มีบริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตใด ๆ และสามารถเข้าชมในแต่ละวันโดยผู้คนนับล้าน
ได้รับข้อความหรือการแพร่ตัวเองออกไปยังผู้ชมนับล้านคนสามารถทำได้ง่ายเพียงแค่การสร้างภาพจากนั้นใช้เทคโนโลยีการอัปโหลดของ Youtube แล้วการตลาดออกวิดีโอของคุณในล้านของแฟน YouTube
ประโยชน์ด้านการใช้ Youtube เป็นความสามารถของเว็บไซต์ ผู้ใช้ที่สร้างแชเนลวิดีโอที่นำเสนอที่น่าสนใจพอที่จะรับเป็นล้าน ๆ มักจะได้รับการดูแท็กที่ดูมากที่สุดใน Youtube ที่สามารถนำไปสู่การเป็นจำนวนเงินที่มากมายของโอกาสด้านนอกของเว็บไซต์หลาย ๆ ตัวเงินตาม
ประโยชน์อีกด้านหนึ่งของการใช้ YouTube ก็ฉายภาพตัวเองออกไปยังผู้ชมนับล้านคนและเป็นที่ยอมรับอย่างง่ายดาย
Youtube ได้รับผลิตภัณฑ์ของหลายชื่อเสียงระดับต่ำชื่อเสียงและได้รับการเพาะปลูกในการทำ nobodies เป็นใครสักคนโดยไม่เรียกเก็บเงินจากรูปแบบของราคาใด ๆ
ผู้ใช้ซอฟต์แวร์ที่เป็นมิตรของ Youtube ช่วยให้คุณสามารถสร้างชื่อและแก้ไขวิดีโอต่างๆที่ชื่นชอบของคุณ
ประโยชน์ของการใช้ Youtube เมื่อเทียบกับไซต์วิดีโออื่น ๆ เป็นห้องว่างเนื้อหา เป็นเว็บไซต์ที่ง่ายมากที่จะใช้ที่มีวิดีโอพร้อมที่จะดูที่คลิกปุ่ม กับการพัฒนาของเทคโนโลยีและกระบวนการของวิดีโอถูกพึ่งต่ออินเตอร์เน็ตความเร็วการเชื่อมต่อของคุณ, YouTube ได้สร้างความสามารถในการข้ามไปยังส่วนหนึ่งของวิดีโอที่คุณต้องการจะดูโดยไม่ต้องอดทนรอสักครู่ในการโหลดครั้งแรกหรือ ส่วนสุดท้ายของวิดีโอ นอกจากนี้ยังง่ายในการชมเทคโนโลยีวิดีโอง่ายที่จะอัปโหลดขั้นตอนการสร้างประโยชน์หลายประการเมื่อเทียบกับเว็บไซต์อื่น ๆ อัปโหลดเป็นง่ายๆเป็นตำแหน่งของเสียงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณและคลิกอัพโหลด Youtube ไม่ทั้งหมดของส่วนที่เหลือสำหรับคุณด้วยการสร้างชื่อและภาพรวมทั่วไป
ประโยชน์ของการใช้ Youtube ก็คือความสามารถในการถ่ายทอดไปยังผู้ชมนับล้านที่ สามารถใช้ได้ในเกือบทุกประเทศในโลกและคอมพิวเตอร์ที่มีบริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตใด ๆ และสามารถเข้าชมในแต่ละวันโดยผู้คนนับล้าน
ได้รับข้อความหรือการแพร่ตัวเองออกไปยังผู้ชมนับล้านคนสามารถทำได้ง่ายเพียงแค่การสร้างภาพจากนั้นใช้เทคโนโลยีการอัปโหลดของ Youtube แล้วการตลาดออกวิดีโอของคุณในล้านของแฟน YouTube
ประโยชน์ด้านการใช้ Youtube เป็นความสามารถของเว็บไซต์ ผู้ใช้ที่สร้างแชเนลวิดีโอที่นำเสนอที่น่าสนใจพอที่จะรับเป็นล้าน ๆ มักจะได้รับการดูแท็กที่ดูมากที่สุดใน Youtube ที่สามารถนำไปสู่การเป็นจำนวนเงินที่มากมายของโอกาสด้านนอกของเว็บไซต์หลาย ๆ ตัวเงินตาม
ประโยชน์อีกด้านหนึ่งของการใช้ YouTube ก็ฉายภาพตัวเองออกไปยังผู้ชมนับล้านคนและเป็นที่ยอมรับอย่างง่ายดาย
Youtube ได้รับผลิตภัณฑ์ของหลายชื่อเสียงระดับต่ำชื่อเสียงและได้รับการเพาะปลูกในการทำ nobodies เป็นใครสักคนโดยไม่เรียกเก็บเงินจากรูปแบบของราคาใด ๆ
ประโยชน์สุดท้ายของการใช้ Youtube เป็นด้านข้อมูลในเว็บไซต์กับเหตุการณ์ปัจจุบันทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมป๊อปที่มีการคาดการณ์ได้อย่างง่ายดายบนหน้าแรกของเว็บไซต์และการเชื่อมโยงเป็นของพวกเขาดูมากที่สุด อายุข้อมูลของศตวรรษที่ยี่สิบได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก YouTube และจะยังคงเป็นเช่นนั้นเป็นเวลาหลายปีมา
โดยรวมถ้าคุณกำลังมองหาสื่อเพื่อออกอากาศด้วยตัวคุณเองหรือเพลิดเพลินกับการดูวิดีโอล่าสุดในความนิยมให้ตรวจสอบผลประโยชน์ของการใช้ Youtube
โดยรวมถ้าคุณกำลังมองหาสื่อเพื่อออกอากาศด้วยตัวคุณเองหรือเพลิดเพลินกับการดูวิดีโอล่าสุดในความนิยมให้ตรวจสอบผลประโยชน์ของการใช้ Youtube
ตัวอย่างวีดีโอ จาก Youtube
กลับหน้าหลัก...คลิกเลย
MSN Chat
MSN Chat
MSN Messenger คืออะไร? ทางนี้มีคำตอบครับ เจ้า MSN Messenger หรือที่ เราชอบเรียกกันว่า msn เนี่ย มันก็คือ โปรแกรมส่งข้อความข้าม ระบบเน็ทเวิร์ค แบบทันทีทันใด หรือภาษาฝรั่งเรียกว่า IM (Instant Messenger) ถ้าคุณเคยเล่นโปรแกรม ICQ IRC หรือ Pirch ก็เข้าข่ายเป็นโปรแกรมพวกเดียวกัน แหละครับ!
ทีนี้ทำไม เจ้า msn เนี่ยมันถึงฮิตติดชารจ์ขึ้นมา ก็เนื่องจากความง่ายของการใช้งาน เช่นคุณแค่มี E-mail ของ hotmail หรือ msn คุณก็สามารถเล่นเจ้า msn ได้ทันที แถมมันยังผนวกกับ email ของเราซะอีก โดยที่ เมื่อใดก็ตามที่มีเมล์ เข้ามาถึงเรา เจ้า msn มันก็จะแจ้ง ให้คุณทราบทันที นอกจากนั้น ความเร็วของการ รับและส่งข้อความระหว่างกัน ก็ทำได้อย่างรวดเร็ว หน้าตาโปรแกรมที่สวยงาม แถมเวอร์ชันใหม่ เรายังสามารถใส่รูปของเราได้อีกด้วย! แจ๋วจริงๆ แฮะ
จากรูปด้านบน คือหน้าตาของโปรแกรม msn ครับซึ่งจะแบ่งออกเป็นสองส่วน
1. หน้าต่างหลัก: ที่หน้าต่างนี้จะแสดงชื่อของเพื่อนๆ เราครับ ทั้งคนที่ online และ offline ซึ่งเวลาเราจะคุยกับเพื่อนคนไหน ก็สามารถดับเบิ้ลคลิ๊ก ที่ชื่อแล้ว หน้าต่างอีกอันจะแสดงขึ้นมา (รูปด้านขวามือ) เราก้อสามารถพิมพ์ข้อความส่งให้เพื่อนได้ทันที
2.หน้าต่างที่เราคุยกับเพื่อน: ที่หน้าต่างนี้เราสามารถพิมพ์ข้อความ คุยกับเพื่อนได้ทันที แล้วคุณยังสามารถให้ msn แสดงรูปภาพของเรา โดยที่ ทางฝั่งเพื่อนของเรา ก็จะเห็นรูปดังกล่าวเช่นกัน อีกทั้งยังสามารถส่ง icon ต่างๆ เพื่อสื่ออารมณ์ เพิ่มความสนุกสนานในการ chat ได้อีกด้วย
ประโยชน์ MSN
- ประหยัดเวลา ไม่เสียค่าใช้จ่าย
- สื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย สะดวก รวดเร็ว
- สามารถสนทนาผ่านวีดีโอช่วยให้เราเห็นภาพได้ยินเสียงสนทนาทุกอริริยาบทไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน
- รับส่งข้อความสนทนากันได้
- แสดงความคิดเห็นต่างด้วยเครื่องมือต่างๆของหน้าต่างการสนทนาให้สดใสตามสไตล์ของเราได้
- แบ่งบันไฟล์หรือข้อมูลต่างๆอย่างรวดเร็ว
- เล่นเกมส์ออนไลน์พร้อมกับเพื่อนๆที่มีมากมายหลายรูปแบบให้เลือก
- ใช้งานผ่านทางโทรศัพท์มือถือทำให้เราไม่พลาดการติดต่อกับเพื่อนๆ
กลับหน้าหลัก...คลิกเลย
Web board
Web board คือโปรแกรมที่ใช้บนเว็บ สำหรับการแลกเปลี่ยนบทสนทนา การพูดคุย การอภิปรายในสังคมออนไลน์ โดยมีการเริ่มต้นใช้ในช่วง 1980s -1990 และเริ่มเป็นที่นิยมในปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) ปีที่อินเทอร์เน็ตเริ่มเป็นที่นิยม หัวข้อที่พูดคุยกันได้แก่ เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ วีดีโอเกมส์ การเมือง
ความหมายนี้ยังมีการใช้ชื่ออื่นอีก ได้แก่ กระดานสนทนาออนไลน์ เว็บบอร์ด เว็บฟอรัม ฟอรัม เมสเซจบอร์ด บุลเลตอินบอร์ด และ ดิสคัชชันบอร์ด
กระดานข่าวสารนั้นเริ่มต้นใช้ในช่วง 1980s-1990 และเริ่มเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) ซึ่งเป็นปีที่อินเทอร์เน็ตเริ่มเป็นรู้จักกันอย่างแพร่หลาย
หมวดประเภทที่ได้นำมาสนทนากันบ่อยครั้งในกระดานข่าวสาร ได้แก่ หมวดเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ หมวดวีดีโอเกมส์ หมวดสังคมและการเมือง เป็นต้น
กระดานข่าวสารนั้นยังมีชื่อเรียกอื่นอีกมากมาย อาทิเช่น กระดานสนทนาออนไลน์,เว็บบอร์ด,เว็บฟอรัม,ฟอรัม,เมสเซจบอร์ด,บุลเลตอินบอร์ด,ดิสคัชชันบอร์ด
กระดานข่าวสารแบ่งได้เป็น 3 ส่วนตามลักษณะการติดต่อระหว่างผู้ติดต่อ คือ
1.ส่วนของ ผู้ใช้ที่เข้าระบบโดยการกรอกชื่อและรหัสผ่าน - ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
2.ส่วนของ ผู้ดูแลระบบทั่วไปหรือสูงสุด - แผงปุ่มคำสั่งต่างๆ ที่ใช้จัดการกับกระดานข่าวสาร
3.ส่วนของ ผู้ดูแลระบบสูงสุด - ฐานข้อมูลของกระดานข่าวสาร
WEB Board สำเร็จรูป ส่วนใหญ่สามารถดาวน์โหลด และติดตั้งได้ทันทีโดยผู้ใช้ ซึ่งเป็น Open Source ที่ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ผู้ที่สนใจนำมาพัฒนาต่อยอด สามารถปรับแก้ เป็นของตนเอง ติดตั้งไว้ใช้เป็น WEB Board ส่วนตัว หรือเผยแพร่ให้คนอื่นมาใช้งานได้
ตัวอย่าง WEB Board ที่นิยมกันมาก ได้แก่
phpBB (ใช้ PHP+MySQL)
vBulletin (ใช้ PHP+MySQL)
Invision Power Board (IPB) (ใช้ PHP+MySQL)
Simple Machines Forum (SMF) (ใช้ PHP+MySQL)
. ประเภทของเวบบอร์ด
1.เวบบอร์ดที่เปิดให้คนทั่วไปร่วมแสดงความคิดเห็นได้ เป็นเวบบอร์ดเปิดกว้างสำหรับทุกความคิดเห็นของทุกคน ใครก็สามารถเข้ามาตั้งกระทู้ ตอบกระทู้ และโพสท์ข้อความแสดงความคิดเห็นได้ บางเวบไซต์จะมีการรับสมัครสมาชิกด้วย เพื่อรับสิทธิพิเศษ เช่น สามารถทำลิงค์ และโพสท์รูปได้ ตัวอย่างเช่น เวบบอร์ดของ http://www.pantip.com 2.เวบบอร์ดข่าวเด็ด ประเด็นร้อน เวบบอร์ดนี้จะมีกระทู้ซึ่งทางเวบไซต์นั้นๆ จะเป็นผู้ตั้ง เพื่อเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาแสดงความคิดเห็นในหัวข้อข่าว หรือประเด็นต่างๆ เช่น เวบบอร์ดของ http://www.kapook.com/ 3.เวบบอร์ดที่เปิดให้เฉพาะสมาชิกเท่านั้น ต้องเป็นสมาชิกจึงจะ Log in เข้าไปโพสท์ข้อความได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเวบบอร์ดของคณะ ชมรม บริษัท หรือกลุ่มต่างๆ
3. การใช้เวบบอร์ด 1. เมื่อเข้าไปในหน้าเวบบอร์ดแล้ว สามารถเข้าไปตั้งกระทู้ใหม่ได้ โดยคลิกเข้าไปที่ ตั้งกระทู้ใหม่ แล้วพิมพ์ข้อความ ถ้าต้องการโพสท์รูปภาพให้คลิกที่ Browse แล้วเลือกไฟล์ภาพที่ต้องการ บางเวบไซต์ต้องสมัครสมาชิกก่อนจึงจะสามารถโพสท์รูปได้
2. วิธีการตอบกระทู้ ให้คลิกเข้าไปที่กระทู้นั้นๆ จะปรากฏหน้าจอให้เข้าไปโพสท์ข้อความได้ เมื่อพิมพ์ข้อความเสร็จให้คลิกที่ปุ่ม ส่งข้อความ ข้อความของคุณจะถูกส่งขึ้นไปในเวบบอร์ดโดยอัตโนมัติ
4. คำแนะนำ และมารยาทในการใช้เวบบอร์ด
1.ไม่เสนอข้อความที่พาดพิง หรือหมิ่นต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.ใช้ถ้อยคำที่สุภาพไม่ใช้ข้อความ และรูปภาพที่ส่อไปในทางลามกอนาจาร ท้าทาย หรือยุยงส่งเสริมให้เกิดการเข้าใจผิด อันจะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง และไม่เสนอข้อความที่เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย
3.ไม่เสนอข้อความที่ใส่ร้ายผู้อื่น หมิ่นประมาท หรือนำข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่นมาเผยแพร่
4.ระมัดระวัง ไม่ตั้งกระทู้ที่ซ้ำซ้อนกับกระทู้ที่ตั้งมาก่อนแล้ว และไม่ตั้งผิดกลุ่ม ผิดเป้าหมายของเวบ บอร์ดนั้นๆ
5.ไม่ควรใส่เบอร์โทรศัพท์ในการติดต่อกับบุคคลอื่น ให้ใส่เบอร์อีเมล์ หรือ Icq แทน
6.เปิดใจให้กว้าง เคารพ และยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นของผู้อื่น หากพบข้อความที่ส่อไปในทางชวนทะเลาะ ไม่ควรโต้ตอบ
7.ไม่ใช้นามแฝง หรือชื่อจริงของผู้อื่นโดยเจตนา ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดการเข้าใจผิดต่อการเป็นเจ้าของข้อความนั้น และอาจทำให้เจ้าของชื่อได้รับความเสื่อมเสีย
5. ประโยชน์ และข้อเสียของเวบบอร์ด
ประโยชน์ของเวบบอร์ด
1.เป็นสื่อกลางที่เป็นเหมือนเวทีให้คนเข้าไปแสดงความคิดเห็นแบบเสรี ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ก็สามารถเข้าไปแสดงความคิดเห็นได้
2.เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นในทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ โดยคุณสามารถเข้าไปตั้งคำถาม เพื่อไขข้อข้องใจ หรือตอบกระทู้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ให้แก่คนอื่น
ข้อเสียของเวบบอร์ด
1.สามารถใช้เป็นเครื่องมือของผู้ไม่ประสงค์ดีได้ โดยการโพสท์ข้อความที่ใส่ร้ายผู้อื่น ทำให้เกิดความเสื่อมเสีย โพสท์ข้อความและรูปลามก อนาจาร หรือข้อความที่ยุยงส่งเสริมให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น ฯลฯ
2.สามารถใช้เป็นช่องทางหากินของมิจฉาชีพได้
3.ใช้เป็นที่ระบายอารมณ์จนเกินขอบเขต กลายเป็นเรื่องไร้สาระ และผู้ส่งข้อความไม่แสดงความรับผิดชอบต่อข้อความนั้น
4.การใช้เวบบอร์ดในทางที่ผิด ส่งผลให้เกิดการหมกมุ่น หรือใช้เวลากับเวบบอร์ดมากจนเกินความจำเป็น เป็นการเสียเวลา และส่งผลเสียกับผู้ใช้ในหลายๆ ด้าน
ความหมายนี้ยังมีการใช้ชื่ออื่นอีก ได้แก่ กระดานสนทนาออนไลน์ เว็บบอร์ด เว็บฟอรัม ฟอรัม เมสเซจบอร์ด บุลเลตอินบอร์ด และ ดิสคัชชันบอร์ด
กระดานข่าวสารนั้นเริ่มต้นใช้ในช่วง 1980s-1990 และเริ่มเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) ซึ่งเป็นปีที่อินเทอร์เน็ตเริ่มเป็นรู้จักกันอย่างแพร่หลาย
หมวดประเภทที่ได้นำมาสนทนากันบ่อยครั้งในกระดานข่าวสาร ได้แก่ หมวดเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ หมวดวีดีโอเกมส์ หมวดสังคมและการเมือง เป็นต้น
กระดานข่าวสารนั้นยังมีชื่อเรียกอื่นอีกมากมาย อาทิเช่น กระดานสนทนาออนไลน์,เว็บบอร์ด,เว็บฟอรัม,ฟอรัม,เมสเซจบอร์ด,บุลเลตอินบอร์ด,ดิสคัชชันบอร์ด
กระดานข่าวสารแบ่งได้เป็น 3 ส่วนตามลักษณะการติดต่อระหว่างผู้ติดต่อ คือ
1.ส่วนของ ผู้ใช้ที่เข้าระบบโดยการกรอกชื่อและรหัสผ่าน - ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
2.ส่วนของ ผู้ดูแลระบบทั่วไปหรือสูงสุด - แผงปุ่มคำสั่งต่างๆ ที่ใช้จัดการกับกระดานข่าวสาร
3.ส่วนของ ผู้ดูแลระบบสูงสุด - ฐานข้อมูลของกระดานข่าวสาร
WEB Board สำเร็จรูป ส่วนใหญ่สามารถดาวน์โหลด และติดตั้งได้ทันทีโดยผู้ใช้ ซึ่งเป็น Open Source ที่ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ผู้ที่สนใจนำมาพัฒนาต่อยอด สามารถปรับแก้ เป็นของตนเอง ติดตั้งไว้ใช้เป็น WEB Board ส่วนตัว หรือเผยแพร่ให้คนอื่นมาใช้งานได้
ตัวอย่าง WEB Board ที่นิยมกันมาก ได้แก่
phpBB (ใช้ PHP+MySQL)
vBulletin (ใช้ PHP+MySQL)
Invision Power Board (IPB) (ใช้ PHP+MySQL)
Simple Machines Forum (SMF) (ใช้ PHP+MySQL)
. ประเภทของเวบบอร์ด
3. การใช้เวบบอร์ด
4. คำแนะนำ และมารยาทในการใช้เวบบอร์ด
1.ไม่เสนอข้อความที่พาดพิง หรือหมิ่นต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.ใช้ถ้อยคำที่สุภาพไม่ใช้ข้อความ และรูปภาพที่ส่อไปในทางลามกอนาจาร ท้าทาย หรือยุยงส่งเสริมให้เกิดการเข้าใจผิด อันจะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง และไม่เสนอข้อความที่เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย
3.ไม่เสนอข้อความที่ใส่ร้ายผู้อื่น หมิ่นประมาท หรือนำข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่นมาเผยแพร่
4.ระมัดระวัง ไม่ตั้งกระทู้ที่ซ้ำซ้อนกับกระทู้ที่ตั้งมาก่อนแล้ว และไม่ตั้งผิดกลุ่ม ผิดเป้าหมายของเวบ บอร์ดนั้นๆ
5.ไม่ควรใส่เบอร์โทรศัพท์ในการติดต่อกับบุคคลอื่น ให้ใส่เบอร์อีเมล์ หรือ Icq แทน
6.เปิดใจให้กว้าง เคารพ และยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นของผู้อื่น หากพบข้อความที่ส่อไปในทางชวนทะเลาะ ไม่ควรโต้ตอบ
7.ไม่ใช้นามแฝง หรือชื่อจริงของผู้อื่นโดยเจตนา ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดการเข้าใจผิดต่อการเป็นเจ้าของข้อความนั้น และอาจทำให้เจ้าของชื่อได้รับความเสื่อมเสีย
5. ประโยชน์ และข้อเสียของเวบบอร์ด
ประโยชน์ของเวบบอร์ด
1.เป็นสื่อกลางที่เป็นเหมือนเวทีให้คนเข้าไปแสดงความคิดเห็นแบบเสรี ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ก็สามารถเข้าไปแสดงความคิดเห็นได้
2.เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นในทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ โดยคุณสามารถเข้าไปตั้งคำถาม เพื่อไขข้อข้องใจ หรือตอบกระทู้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ให้แก่คนอื่น
ข้อเสียของเวบบอร์ด
1.สามารถใช้เป็นเครื่องมือของผู้ไม่ประสงค์ดีได้ โดยการโพสท์ข้อความที่ใส่ร้ายผู้อื่น ทำให้เกิดความเสื่อมเสีย โพสท์ข้อความและรูปลามก อนาจาร หรือข้อความที่ยุยงส่งเสริมให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น ฯลฯ
2.สามารถใช้เป็นช่องทางหากินของมิจฉาชีพได้
3.ใช้เป็นที่ระบายอารมณ์จนเกินขอบเขต กลายเป็นเรื่องไร้สาระ และผู้ส่งข้อความไม่แสดงความรับผิดชอบต่อข้อความนั้น
4.การใช้เวบบอร์ดในทางที่ผิด ส่งผลให้เกิดการหมกมุ่น หรือใช้เวลากับเวบบอร์ดมากจนเกินความจำเป็น เป็นการเสียเวลา และส่งผลเสียกับผู้ใช้ในหลายๆ ด้าน
กลับหน้าหลัก...คลิกเลย
รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่าย (Line Configuration)
รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่าย (Line Configuration)
หมายถึง การสร้างเส้นทางการสื่อสารเพื่อส่งข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอุปกรณ์หนึ่ง แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
1. รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบจุดต่อจุด (peer- to-peer)
เป็นการเชื่อมต่อแบบพื้นฐาน โดยต่อจากอุปกรณ์รับหรือส่ง 2 ชุด ใช้สายสื่อสารเพียงสายเดียวมีความยาวของสายไม่จำกัด เชื่อมต่อสายสื่อสาร
ไว้ตลอดเวลา (Lease Line) ซึ่งสายส่งอาจจะเป็นชนิดสายส่งทางเดียว (Simplex) สายส่งกึ่งทางคู่ (Half-duplex) หรือสายส่งทางคู่แบบสมบูรณ์
(Full-duplex) ก็ได้ และสามารถส่งสัญญาณข้อมูลได้ทั้งแบบซิงโครนัสหรือแบบอซิงโครนัส การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดมีได้หลายลักษณะ
ซึ่งการเชื่อมด้วยวิธีนี้จะมีคุณสมบัติ 3 ประการ ที่สำคัญ ดังนี้
2. การเชื่อมต่อแบบหลายจุด (Multi Point)
เนื่องจากค่าเช่าช่องทางในการส่งผ่านข้อมูลต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดนั้นสิ้นเปลืองสายสื่อสารมาก การส่งข้อมูลไม่ได้ใช้งาน
ตลอดเวลา จึงมีแนวความคิดที่จะใช้สายสื่อสารเพียงสายเดียวแต่เชื่อมต่อกับหลายๆ จุดซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า ลักษณะการเชื่อมต่อ
แบบหลายจุดแสดงให้เห็นได้
การเชื่อมต่อแบบหลายจุดแต่จุดจะมีบัฟเฟอร์ (Buffer) ซึ่งเป็นที่พักเก็บข้อมูลชั่วคราวก่อนทำการส่ง โดยบัฟเฟอร์จะรับข้อมูลมาเก็บเรื่อย ๆ จนเต็มบัฟเฟอร์ ข้อมูลจะถูกส่งทันทีหรือเมื่อมีคำสั่งให้ส่ง เพื่อใช้สายสื่อสารให้เต็มประสิทธิภาพในการส่งแต่ละครั้ง และช่วงใดที่ว่างก็สามารถให้ผู้อื่น
ส่งได้ การเชื่อมต่อแบบนี้จะเหมาะกับการสื่อสารที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก และเป็นข้อมูลที่ไม่ต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าการสื่อสารข้อมูล
โดยวิธีการเชื่อมต่อแบบหลายจุดจะประหยัดค่าใช้จ่ายและใช้ระบบสื่อสารได้ค่อนข้างเต็มประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อจำกัดหลายประการดังต่อไปนี้
หมายถึง ลักษณะหรือรูปทรงในการเชื่อมต่ออุปกรณ์การสื่อสารต่าง ๆ ในเครือข่าย แบ่งออกเป็นลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1) แบบดาว (Star Network)ลักษณะการเชื่อมต่อของโครงสร้างแบบสตาร์จะคล้าย ๆ กับดาวกระจายคือมีอุปกรณ์ประเภท Hub หรือ Switch เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อเป็นเครือข่าย
ที่คอมพิวเตอร์ทุกตัวและอุปกรณ์อื่นเชื่อมกับโฮสต์คอมพิวเตอร์ที่อยู่ และการสื่อสารทั้งหมดระหว่างอุปกรณ์ต่างๆภายในเครือข่ายต้องผ่านโฮสต์คอมพิวเตอร์
เนื่องจากโฮสต์คอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมอุปกรณ์อื่นทั้งหมดในเครือข่าย เครือข่ายแบบดาวเหมาะสำหรับการประมวลผลที่มีลักษณะรวมศูนย์
เวลาที่มีสายเส้นใดเส้นหนึ่งหลุดหรือเสียก็จะไม่มีผลต่อการทำงานของระบบโดยรวมแต่อย่างใดอย่างไรก็ตามข้อจำกัดของแบบนี้ คือ หากใช้โฮสต์คอมพิวเตอร์ก็จะทำให้ระบบทั้งหมดทำงานไม่ได้
2) แบบบัส (Bus Network)
เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์โดยใช้สายวงจรเดียว ซึ่งอาจจะเป็นสายเกลียวคู่สายโคแอกเชียล หรือ สายใยแก้วก็ได้ สัญญาณสามารถสื่อสารได้ 2 ทางใน
เครือข่ายโดยมีซอฟต์แวร์คอยช่วยแยกว่าอุปกรณ์ใดจะเป็นตัวรับข้อมูล หากมีคอมพิวเตอร์ตัวใดในระบบล้มเหลวจะไม่มีผล ต่อคอมพิวเตอร์อื่น อย่างไรก็ตามช่องทางในระบบเครือข่ายแบบนี้สามารถจัดการรับข้อมูลได้ครั้งละ 1 ชุดเท่านั้น ดังนั้นจึงเกิดปัญหาการจราจรของข้อมูลได้ในกรณี
ที่มีผู้ต้องการใช้งานพร้อมกัน โทโปโลจีแบบนี้นิยมใช้ในวงแลน
นอกจากนี้การขยายระบบของเครือข่ายก็สามารถกระทำได้ง่าย เพราะเพียงแต่นำอุปกรณ์ใหม่มาต่อพ่วงกับบัสเท่านั้นก็สามารถเชื่อมโยงกับเครือข่าย
ได้ทันที และประการสำคัญหากเครื่องลูกข่ายภายในระบบตัวใดตัวหนึ่งเกิดมีปัญหาไม่สามารถเชื่อมโยงกับเครือข่ายได้ในขณะนั้น ก็จะไม่ทำให้ทั้ง
ระบบหยุดชะงักหรือขาดการติดต่อสื่อสารลงไปทั้งระบบ สถานีแต่ละสถานีไม่มีปัญหายังคงติดต่อสื่อสารภายในระบบกันได้อย่างไม่มีปัญหา
3) แบบวงแหวน (Ring Network)
โครงสร้างแบบนี้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์จะถูกเชื่อมต่อเข้ากับสายเคเบิลเส้นเดียวเป็นวงแหวนคอมพิวเตอร์ทุกตัวเชื่อมโยงเป็นวงจรปิดทำให้การส่งข้อมูล
จากคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่งโดยเดินทางไปในทิศทางเดียวกันตลอดโดยผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ถัดกันไปเป็นทอด ๆ การส่งข้อมูลจะใช้
้ทิศทางเดียวถ้าแอดเดรสของมันไม่ตรงกับผู้รับตามที่เครื่องต้นระบุมา มันก็จะส่งผ่านไปยังเครื่องถัดไป จนกว่าจะถึงเครื่องปลายคือตรงกับใครเครื่องนั้น
ก็รับไม่ส่งต่อ คอมพิวเตอร์แต่ละตัวทำงานโดยอิสระ หากมีตัวใด ตัวหนึ่งเสียระบบการสื่อสารในเครือข่ายได้รับการกระทบกระเทือน ยกเว้นจะมีวงแหวน
คู่ในการรับส่งข้อมูลในทิศทางต่างๆ กัน เพื่อเป็นเส้นทางสำรองในการป้องกันไม่ให้เครือข่ายหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง
โครงสร้างแบบนี้มีข้อเสียคล้าย ๆ กับแบบบัส คือเมื่อสายเคเบิลช่วงใดช่วงหนึ่งขาดจะทำให้ทั้งระบบใช้งานไม่ได้ อย่างไรก็ตามเครือข่ายแบบวงแหวน
มักใช้สายเคเบิลที่มีวงแหวนสำรองที่สามารถส่งข้อมูลในทิศทางกลับกัน เพื่อเป็นเส้นทางสำรองในกรณีที่เครือข่ายมีปัญหา ซึ่งราคาแพงพอสมควร นอกจากนี้การเพิ่มเครื่องเข้าไปในเครือข่ายจะต้องปิดการทำงานของระบบก่อนเช่นเดียวกับแบบบัส เครือข่ายแบบนี้ปัจจุบันยังใช้กันอยู่ โดยเฉพาะในเครือข่ายของผลิตภัณฑ์ในตระกูล IBM ซึ่งโดยมากจะเป็นการเชื่อมต่อเครื่องเมนเฟรมหรือมินิคอมพิวเตอร์
นอกจากโทโปโลจีทั้ง 3 แบบที่กล่าวข้างต้น อาจจะพบโทโปโลจีแบบอื่นๆ เช่น แบบโครงสร้างลำดับชั้น (Hierarchical Network) ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างคล้ายต้นไม้ (Tree) หรือมีแบบผสม (Hybrid) อย่างไรก็ตามโทโปโลจีแต่ละประเภทจะมีข้อดีและ ข้อจำกัดแตกต่างกันผู้พัฒนาระบบจะต้องพิจารณาถึงความเร็ว ความเชื่อถือได้ และความสามารถของเครือข่ายในการทำงาน หรือการแก้ไขข้อบกพร่องในกรณีที่อุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่ง ในระบบมีปัญหาตลอดจนลักษณะทางกายภาพ เช่น ระยะห่างของ node และต้นทุนของทั้งระบบ
หมายถึง การสร้างเส้นทางการสื่อสารเพื่อส่งข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอุปกรณ์หนึ่ง แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
1. รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบจุดต่อจุด (peer- to-peer)
เป็นการเชื่อมต่อแบบพื้นฐาน โดยต่อจากอุปกรณ์รับหรือส่ง 2 ชุด ใช้สายสื่อสารเพียงสายเดียวมีความยาวของสายไม่จำกัด เชื่อมต่อสายสื่อสาร
ไว้ตลอดเวลา (Lease Line) ซึ่งสายส่งอาจจะเป็นชนิดสายส่งทางเดียว (Simplex) สายส่งกึ่งทางคู่ (Half-duplex) หรือสายส่งทางคู่แบบสมบูรณ์
(Full-duplex) ก็ได้ และสามารถส่งสัญญาณข้อมูลได้ทั้งแบบซิงโครนัสหรือแบบอซิงโครนัส การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดมีได้หลายลักษณะ
ซึ่งการเชื่อมด้วยวิธีนี้จะมีคุณสมบัติ 3 ประการ ที่สำคัญ ดังนี้
1. เนื่องจากเป็นการเชื่อมต่อกันแบบโดยตรงระหว่างคอมพิวเตอร์สองเครื่อง แบนด์วิดธ์บนสายสื่อสารที่ใช้งานระหว่างกันจะสามารถใช้งานได้
อย่างเต็มที่ โดยไม่มีโหนดอื่น ๆ เข้ามาแชร์การใช้งาน
อย่างเต็มที่ โดยไม่มีโหนดอื่น ๆ เข้ามาแชร์การใช้งาน
2. มีความยืดหยุ่นในส่วนของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ใช้สื่อสารกัน รวมถึงรูปแบบของแพ็กเก็ตข้อมูล
3. มีความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวในข้อมูลที่สื่อสารกัน เนื่องจากช่องทางการสื่อสารที่ใช้สื่อสารกันไม่มีการแชร์เพื่อใช้งานร่วมกับโหนดอื่น ๆ
ข้อเสียที่เห็นได้ชัดของการเชื่อมแบบจุดต่อจุดคือ จะส่งผกระทบต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เมื่อมีอัตราการเพิ่มจำวนคอมพิวเตอร์บนเครือข่าย โดยหากมีการเพิ่มจำนวนคอมพิวเตอร์เพิ่มอีกหนึ่งเครื่องบน Location 1 จะต้องเพิ่มสายจากเดิมที่มีอยู่ 10 เส้น เป็น 15 เส้น นั่นหมายถึง หากมีการเพิ่มจำนวน N เครื่องเข้าไป จำนวนสายที่ต้องโยงก็จะเพิ่มขึ้นใหม่เป็น N – 1 นั่นเอง
2. การเชื่อมต่อแบบหลายจุด (Multi Point)
เนื่องจากค่าเช่าช่องทางในการส่งผ่านข้อมูลต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดนั้นสิ้นเปลืองสายสื่อสารมาก การส่งข้อมูลไม่ได้ใช้งาน
ตลอดเวลา จึงมีแนวความคิดที่จะใช้สายสื่อสารเพียงสายเดียวแต่เชื่อมต่อกับหลายๆ จุดซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า ลักษณะการเชื่อมต่อ
แบบหลายจุดแสดงให้เห็นได้
การเชื่อมต่อแบบหลายจุดแต่จุดจะมีบัฟเฟอร์ (Buffer) ซึ่งเป็นที่พักเก็บข้อมูลชั่วคราวก่อนทำการส่ง โดยบัฟเฟอร์จะรับข้อมูลมาเก็บเรื่อย ๆ จนเต็มบัฟเฟอร์ ข้อมูลจะถูกส่งทันทีหรือเมื่อมีคำสั่งให้ส่ง เพื่อใช้สายสื่อสารให้เต็มประสิทธิภาพในการส่งแต่ละครั้ง และช่วงใดที่ว่างก็สามารถให้ผู้อื่น
ส่งได้ การเชื่อมต่อแบบนี้จะเหมาะกับการสื่อสารที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก และเป็นข้อมูลที่ไม่ต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าการสื่อสารข้อมูล
โดยวิธีการเชื่อมต่อแบบหลายจุดจะประหยัดค่าใช้จ่ายและใช้ระบบสื่อสารได้ค่อนข้างเต็มประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อจำกัดหลายประการดังต่อไปนี้
- ประสิทธิภาพของเครื่องและซอฟต์แวร์ที่ใช้สื่อสารข้อมูล
- ปริมาณการส่งผ่านข้อมูลที่เกิดขึ้นจากสถานีส่งและรับข้อมูล
- ความเร็วของช่องทางการส่งผ่านข้อมูลที่ใช้
- ข้อจำกัดที่ออกโดยองค์การที่ควบคุมการสื่อสารของแต่ละประเทศ
หมายถึง ลักษณะหรือรูปทรงในการเชื่อมต่ออุปกรณ์การสื่อสารต่าง ๆ ในเครือข่าย แบ่งออกเป็นลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1) แบบดาว (Star Network)ลักษณะการเชื่อมต่อของโครงสร้างแบบสตาร์จะคล้าย ๆ กับดาวกระจายคือมีอุปกรณ์ประเภท Hub หรือ Switch เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อเป็นเครือข่าย
ที่คอมพิวเตอร์ทุกตัวและอุปกรณ์อื่นเชื่อมกับโฮสต์คอมพิวเตอร์ที่อยู่ และการสื่อสารทั้งหมดระหว่างอุปกรณ์ต่างๆภายในเครือข่ายต้องผ่านโฮสต์คอมพิวเตอร์
เนื่องจากโฮสต์คอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมอุปกรณ์อื่นทั้งหมดในเครือข่าย เครือข่ายแบบดาวเหมาะสำหรับการประมวลผลที่มีลักษณะรวมศูนย์
เวลาที่มีสายเส้นใดเส้นหนึ่งหลุดหรือเสียก็จะไม่มีผลต่อการทำงานของระบบโดยรวมแต่อย่างใดอย่างไรก็ตามข้อจำกัดของแบบนี้ คือ หากใช้โฮสต์คอมพิวเตอร์ก็จะทำให้ระบบทั้งหมดทำงานไม่ได้
นอกจากนี้หากต้องการเพิ่มเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าไปในเครือข่ายก็สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดการทำงานของเครือข่ายก่อน การต่อแบบสตาร์นี้เป็นแบบที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากราคาอุปกรณ์ที่มาใช้เป็นศูนย์กลางอย่าง Hub หรือ Switch ลดลงมากในขณะที่ประสิทธิภาพหรือความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันได้ความเร็วถึงระดับของกิกาบิต ( 1,000 Mbps) แล้ว
2) แบบบัส (Bus Network)
เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์โดยใช้สายวงจรเดียว ซึ่งอาจจะเป็นสายเกลียวคู่สายโคแอกเชียล หรือ สายใยแก้วก็ได้ สัญญาณสามารถสื่อสารได้ 2 ทางใน
เครือข่ายโดยมีซอฟต์แวร์คอยช่วยแยกว่าอุปกรณ์ใดจะเป็นตัวรับข้อมูล หากมีคอมพิวเตอร์ตัวใดในระบบล้มเหลวจะไม่มีผล ต่อคอมพิวเตอร์อื่น อย่างไรก็ตามช่องทางในระบบเครือข่ายแบบนี้สามารถจัดการรับข้อมูลได้ครั้งละ 1 ชุดเท่านั้น ดังนั้นจึงเกิดปัญหาการจราจรของข้อมูลได้ในกรณี
ที่มีผู้ต้องการใช้งานพร้อมกัน โทโปโลจีแบบนี้นิยมใช้ในวงแลน
นอกจากนี้การขยายระบบของเครือข่ายก็สามารถกระทำได้ง่าย เพราะเพียงแต่นำอุปกรณ์ใหม่มาต่อพ่วงกับบัสเท่านั้นก็สามารถเชื่อมโยงกับเครือข่าย
ได้ทันที และประการสำคัญหากเครื่องลูกข่ายภายในระบบตัวใดตัวหนึ่งเกิดมีปัญหาไม่สามารถเชื่อมโยงกับเครือข่ายได้ในขณะนั้น ก็จะไม่ทำให้ทั้ง
ระบบหยุดชะงักหรือขาดการติดต่อสื่อสารลงไปทั้งระบบ สถานีแต่ละสถานีไม่มีปัญหายังคงติดต่อสื่อสารภายในระบบกันได้อย่างไม่มีปัญหา
3) แบบวงแหวน (Ring Network)
โครงสร้างแบบนี้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์จะถูกเชื่อมต่อเข้ากับสายเคเบิลเส้นเดียวเป็นวงแหวนคอมพิวเตอร์ทุกตัวเชื่อมโยงเป็นวงจรปิดทำให้การส่งข้อมูล
จากคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่งโดยเดินทางไปในทิศทางเดียวกันตลอดโดยผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ถัดกันไปเป็นทอด ๆ การส่งข้อมูลจะใช้
้ทิศทางเดียวถ้าแอดเดรสของมันไม่ตรงกับผู้รับตามที่เครื่องต้นระบุมา มันก็จะส่งผ่านไปยังเครื่องถัดไป จนกว่าจะถึงเครื่องปลายคือตรงกับใครเครื่องนั้น
ก็รับไม่ส่งต่อ คอมพิวเตอร์แต่ละตัวทำงานโดยอิสระ หากมีตัวใด ตัวหนึ่งเสียระบบการสื่อสารในเครือข่ายได้รับการกระทบกระเทือน ยกเว้นจะมีวงแหวน
คู่ในการรับส่งข้อมูลในทิศทางต่างๆ กัน เพื่อเป็นเส้นทางสำรองในการป้องกันไม่ให้เครือข่ายหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง
โครงสร้างแบบนี้มีข้อเสียคล้าย ๆ กับแบบบัส คือเมื่อสายเคเบิลช่วงใดช่วงหนึ่งขาดจะทำให้ทั้งระบบใช้งานไม่ได้ อย่างไรก็ตามเครือข่ายแบบวงแหวน
มักใช้สายเคเบิลที่มีวงแหวนสำรองที่สามารถส่งข้อมูลในทิศทางกลับกัน เพื่อเป็นเส้นทางสำรองในกรณีที่เครือข่ายมีปัญหา ซึ่งราคาแพงพอสมควร นอกจากนี้การเพิ่มเครื่องเข้าไปในเครือข่ายจะต้องปิดการทำงานของระบบก่อนเช่นเดียวกับแบบบัส เครือข่ายแบบนี้ปัจจุบันยังใช้กันอยู่ โดยเฉพาะในเครือข่ายของผลิตภัณฑ์ในตระกูล IBM ซึ่งโดยมากจะเป็นการเชื่อมต่อเครื่องเมนเฟรมหรือมินิคอมพิวเตอร์
กลับหน้าหลัก...คลิกเลย
IP Address
IP ADDRESS คืออะไร
หากมีคอมพิวเตอร์ต่ออินเตอร์เน็ตอยู่เป็นล้านๆเครื่อง หลายท่านอาจจะตั้งข้อสงสัยว่าการที่เราส่งอีเมล์ไปยังปลายทางจะไปได้อย่างไร หรือเมื่อเราต้องการจะล็อคอิน (LOGIN) เข้าคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆที่อยู่บนเครือข่ายเดียวกัน ระบบเครือข่ายจะรู้ได้อย่างไรว่าคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นอยู่ที่ใด
รหัสหมายเลข IP ประจำเครื่อง
คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ต่ออยู่บนเครือข่ายจะมีหมายเลขรหัสประจำเครื่องหมายเลขรหัสนี้เรียกว่า IP number ตัวเลข IP แต่ละเครื่องทั่วโลกจะต้องไม่ซ้ำกันตัวเลขนี้จะได้รับการกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ให้แต่ละองค์กรนำไปปฎิบัติ โดยผู้ที่จะสร้างเครือข่ายต้องทำการขอหมายเลขประจำเครือข่าย เพื่อมากำหนดส่วนขยายต่อสำหรับเครื่องเอาเอง
เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ SUN ที่ทำหน้าที่เป็นเกทเวย์สำหรับเมล์ของเครือข่ายนนทรี ชื่อ nontri มีหมายเลข IP เป็นตัวเลขประจำเครื่องนี้มีขนาด 32 บิต แบ่งเป็น 4 ฟิลด์ แต่ละฟิลด์จะมี 8 บิต แต่เมื่อเรียกรหัสหมายเลข IP นี้ ใช้ตัวเลขฐานสิบแบ่งเป็น 4 ตัว โดยมีจุด (.) คั่นระหว่างตัวดังนั้นจากตัวเลข 32 บิต ดังกล่าวเรียกได้เป็น
158.108.2.71
ตัวเลขไบนารี 32 หลัก เป็นตัวเลขที่จดจำได้ยากแต่เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ใช้เลขเหล่านี้ได้อย่างถูกตัอง แต่เมื่อกำหนดเลข 4 ฟิลด์ แต่ละฟิลด์มีขนาด 0-255 เมื่อดูแล้วจะทำให้จำได้ง่ายขึ้น
เครือข่ายก็มีหลายเลขประจำด้วย
การแบ่งเลขหมาย IP ออกเป็น 4 ฟิลด์นั้น ความจริงแล้วตัวเลขที่ประกอบอยู่นั้นเป็นตัวเลขของเครือข่ายประกอบอยู่ด้วย เช่น เครือข่ายของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ใช้รหัส 158.108 เครือข่ายของบริษัท IBM ที่เป็นเครือข่ายใหญ่ระดับโลก ใช้รหัส 9 ส่วนของบริษัท AT+ T ใช้เลขรหัส IP เป็น 12 ส่วนเครือข่ายของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 192.150.249 เป็นต้น
เนื่องจากขนาดของเครือข่ายมีขนาดแตกต่างกันมาก ดังนั้นจึงมีการกำหนดการแบ่งคลาสของเครือข่ายออกเป็นสามคลาสคือ คลาส A. คลาส B. คลาส C.
คลาส A. กำหนดตัวเลขเพียงฟิลด์แรกฟิลด์เดียว ที่เหลืออีกสามฟิลด์จึงเป็นรหัสประจำเครื่องอยู่ในเครือข่าย คลาส B. กำหนดตัวเลขของฟิลด์ จึงเหลือให้กำหนดรหัสเครื่องสองฟิลด์ คลาส C. กำหนดตัวเลขสามฟิลด์จึงมีที่ให้กำหนดรหัสเครื่องเพียงฟิลด์เดียว
เมื่อพิจารณาตัวเลข IP ใด ๆ หากตัวเลขขึ้นต้นระหว่าง 1-126 ก็จะเป็นคลาส A. ถ้าขึ้นต้นด้วย 128-191 ก็จะเป็นคลาส B. และขึ้นต้นด้วย 192-223 ก็เป็นคลาส C. (ดูตามตารางที่ 1)
การให้หมายเลขเครือข่ายนี้ทางองค์กรบริหารเครือข่ายเป็นผู้กำหนดให้เป็นที่น่าสังเกตุว่า การกำหนดเลขจะกำหนดให้เรียงกันไป ใครขอมาก่อนก็จะให้เลขน้อยเรียงตามลำดับเวลาที่จอและเมื่อพิจารณาการเติบโตของเครือข่ายที่ค่อนข้างจะ หมายเลข IP คงจะเต็มพิกัดครบทุกคราสในไม่ช้านี้ แต่ทางองค์กรบริหารเครือข่าก็เตรียมแผนการขยายหมายเลขต่อไปแล้ว
ตารางที่ 1 การแบ่งคลาสของเครือข่ายกับการกำหนดหมายเลข
ใช้ชื่อดีกว่า
เพื่อให้ระบบการเรียกชื่อง่ายขึ้นและการบริหารเครือข่ายทำได้ดี จึงมีการกำหนดชื่นแทนรหัส IP โดยมีการตั้งชื่อสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องที่อยู่บนเครือข่าย เช่น nontri.ku.ac.th ซึ่งแทนหมายเลข 158.108.162 หรือเครื่อง maspar ซึ่งเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบขนานก็ใช้ชื่อ maspar.cpe.ku.ac.th โดยใช้แทนรหัส 158.108.162 ดังนั้นเครื่องที่ต่ออยู่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจะมีการตั้งชื่อเครื่องเพื่อให้รู้จักกันได้ง่ายขึ้น การตั้งชื่อมีการแบ่งเป็นลำดับขั้น ตัวที่อยู่ขวามือสุด คือชื่อย่อประเทศ เช่น th หมายถึงประเทศไทย เรามีชื่อย่ออยู่มากดังตารางที่ 3
รหัสหมายเลข IP ประจำเครื่อง
คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ต่ออยู่บนเครือข่ายจะมีหมายเลขรหัสประจำเครื่องหมายเลขรหัสนี้เรียกว่า IP number ตัวเลข IP แต่ละเครื่องทั่วโลกจะต้องไม่ซ้ำกันตัวเลขนี้จะได้รับการกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ให้แต่ละองค์กรนำไปปฎิบัติ โดยผู้ที่จะสร้างเครือข่ายต้องทำการขอหมายเลขประจำเครือข่าย เพื่อมากำหนดส่วนขยายต่อสำหรับเครื่องเอาเอง
เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ SUN ที่ทำหน้าที่เป็นเกทเวย์สำหรับเมล์ของเครือข่ายนนทรี ชื่อ nontri มีหมายเลข IP เป็นตัวเลขประจำเครื่องนี้มีขนาด 32 บิต แบ่งเป็น 4 ฟิลด์ แต่ละฟิลด์จะมี 8 บิต แต่เมื่อเรียกรหัสหมายเลข IP นี้ ใช้ตัวเลขฐานสิบแบ่งเป็น 4 ตัว โดยมีจุด (.) คั่นระหว่างตัวดังนั้นจากตัวเลข 32 บิต ดังกล่าวเรียกได้เป็น
158.108.2.71
ตัวเลขไบนารี 32 หลัก เป็นตัวเลขที่จดจำได้ยากแต่เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ใช้เลขเหล่านี้ได้อย่างถูกตัอง แต่เมื่อกำหนดเลข 4 ฟิลด์ แต่ละฟิลด์มีขนาด 0-255 เมื่อดูแล้วจะทำให้จำได้ง่ายขึ้น
เครือข่ายก็มีหลายเลขประจำด้วย
การแบ่งเลขหมาย IP ออกเป็น 4 ฟิลด์นั้น ความจริงแล้วตัวเลขที่ประกอบอยู่นั้นเป็นตัวเลขของเครือข่ายประกอบอยู่ด้วย เช่น เครือข่ายของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ใช้รหัส 158.108 เครือข่ายของบริษัท IBM ที่เป็นเครือข่ายใหญ่ระดับโลก ใช้รหัส 9 ส่วนของบริษัท AT+ T ใช้เลขรหัส IP เป็น 12 ส่วนเครือข่ายของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 192.150.249 เป็นต้น
เนื่องจากขนาดของเครือข่ายมีขนาดแตกต่างกันมาก ดังนั้นจึงมีการกำหนดการแบ่งคลาสของเครือข่ายออกเป็นสามคลาสคือ คลาส A. คลาส B. คลาส C.
คลาส A. กำหนดตัวเลขเพียงฟิลด์แรกฟิลด์เดียว ที่เหลืออีกสามฟิลด์จึงเป็นรหัสประจำเครื่องอยู่ในเครือข่าย คลาส B. กำหนดตัวเลขของฟิลด์ จึงเหลือให้กำหนดรหัสเครื่องสองฟิลด์ คลาส C. กำหนดตัวเลขสามฟิลด์จึงมีที่ให้กำหนดรหัสเครื่องเพียงฟิลด์เดียว
เมื่อพิจารณาตัวเลข IP ใด ๆ หากตัวเลขขึ้นต้นระหว่าง 1-126 ก็จะเป็นคลาส A. ถ้าขึ้นต้นด้วย 128-191 ก็จะเป็นคลาส B. และขึ้นต้นด้วย 192-223 ก็เป็นคลาส C. (ดูตามตารางที่ 1)
การให้หมายเลขเครือข่ายนี้ทางองค์กรบริหารเครือข่ายเป็นผู้กำหนดให้เป็นที่น่าสังเกตุว่า การกำหนดเลขจะกำหนดให้เรียงกันไป ใครขอมาก่อนก็จะให้เลขน้อยเรียงตามลำดับเวลาที่จอและเมื่อพิจารณาการเติบโตของเครือข่ายที่ค่อนข้างจะ หมายเลข IP คงจะเต็มพิกัดครบทุกคราสในไม่ช้านี้ แต่ทางองค์กรบริหารเครือข่าก็เตรียมแผนการขยายหมายเลขต่อไปแล้ว
ตารางที่ 1 การแบ่งคลาสของเครือข่ายกับการกำหนดหมายเลข
ใช้ชื่อดีกว่า
เพื่อให้ระบบการเรียกชื่อง่ายขึ้นและการบริหารเครือข่ายทำได้ดี จึงมีการกำหนดชื่นแทนรหัส IP โดยมีการตั้งชื่อสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องที่อยู่บนเครือข่าย เช่น nontri.ku.ac.th ซึ่งแทนหมายเลข 158.108.162 หรือเครื่อง maspar ซึ่งเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบขนานก็ใช้ชื่อ maspar.cpe.ku.ac.th โดยใช้แทนรหัส 158.108.162 ดังนั้นเครื่องที่ต่ออยู่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจะมีการตั้งชื่อเครื่องเพื่อให้รู้จักกันได้ง่ายขึ้น การตั้งชื่อมีการแบ่งเป็นลำดับขั้น ตัวที่อยู่ขวามือสุด คือชื่อย่อประเทศ เช่น th หมายถึงประเทศไทย เรามีชื่อย่ออยู่มากดังตารางที่ 3
กลับหน้าหลัก...คลิกเลย
การกำหนด Domain Name
Domain Name คืออะไร
Domain Name ( โดเมนเนม ) คือ ชื่อเว็บไซต์ (www.yourdomain.com) ที่ท่านสามารถเป็นเจ้าของ ซึ่งจะต้องไม่ซ้ำกับคนอื่น เพื่อการเรียกหาเว็บไซต์ที่ต้องการ “ชื่อเว็บไซต์” คือ สิ่งแรกที่แสดง หรือ ประกาศความมีตัวตนบนอินเตอร์เน็ตให้คนทั่วไปได้รู้จัก สามารถมีได้ชื่อเดียวในโลกเท่านั้น เช่น www.gict.co.th เมื่อผู้ใช้กรอกชื่อลงไปในช่อง Address ของ Internet Explorer ก็จะส่งชื่อไปร้องถามจากเครื่องแปลชื่อ โดเมน (Domain Name Server) และได้รับกลับมาเป็นไอพีแอดเดรส (Internet Protocol) แล้วส่งคำร้องไปให้กับเครื่องปลายทางตามไอพีแอดเดรส และได้ข้อมูลกลับมาตามรูปแบบที่ร้องขอไป
Sub Domain คืออะไร
ข้อควรรู้ก่อนจดโดเมน
- ความยาวของชื่อ Domain ตั้งได้ไม่เกิน 63 ตัวอักษร
- Domain ต้องจดในชื่อของคุณเท่านั้น Domain Ownership
- ถ้าเป็น Domain ของบริษัท พยายามจดภายใต้ชื่อบริษัท อย่าจดด้วยชื่อพนักงาน IT
- ข้อมูลที่สำคัญที่สุดของ Domain คือ Owner Detail
- ใช้อีเมล์ที่จะอยู่กับคุณตลอดไปในการจดโดเมน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ติดต่อกับคุณ เรียกว่า Registrant E-mail
- บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับ Domain ของคุณไว้ให้ดี วันหมดอายุ ผู้ติดต่อ และอื่น ๆ
อักขระที่จะใช้ในการตั้งชื่อโดเมนเนม
- ชื่อ Domain สามารถใช้ ตัวอักษรภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ตัวเลข และ "-" (ยัติภังค์) ได้
- ชื่อ Domain โดยปกติ จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร และลงท้ายด้วยตัวอักษรหรือตัวเลข
- ชื่อ Domain มีความยาวตั้งแต่ 1 ถึง 63 ตัวอักษร
- ชื่อ Domain ตัวอักษรตัวใหญ่ A-Z หรือตัวอักษรตัวเล็ก ถือว่าเหมือนกัน
- ชื่อ Domain ต้องไม่ขึ้นต้นหรือลงท้ายด้วยเครื่องหมาย - และต้องไม่มี Space
หลัการตั้งชื่อโดเมน ภาษาไทย
- ชื่อ Domain จะต้องไม่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ พระบรมวงศานุวงศ์ และสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ และพระบรมวงศานุวงศ์
- ชื่อ Domain จะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือองค์กรหนึ่งองค์กรใด
- ชื่อ Domain จะต้องไม่เป็นชื่อต่าง ๆ ของประเทศไทย จังหวัด รวมถึงสถานที่อันเป็นสาธารณะต่าง ๆ ในประเทศ
- ชื่อ Domain จะต้องไม่ประกอบด้วยคำหยาบหรือคำที่ผิดต่อศีลธรรมอันดีงามของไทย
- ชื่อ Domain จะต้องมีความสัมพันธ์อย่างหนึ่งอย่างใดกับชื่อโดเมนภาษาอังกฤษที่อ้างอิงดังนี้
การจดทะเบียนโดเมน
การจดทะเบียนโดเมน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ- การจดทะเบียนโดเมนภายในประเทศ
- การจดทะเบียนโดเมนภายในประเทศจะได้นามสกุล โดเมน เป็น .co.th, .or.th, .ac.th, in.th เช่นนามสกุล ".CO.TH" มีคนจดมากกว่าชนิดอื่นๆ เป็นเว็บไซต์ของบริษัท ห้างร้านโดยทั่วไป การจดทะเบียนชื่อโดเมน ต้องเป็นชื่อเดียวกับชื่อบริษัท หรือชื่อย่อของชื่อบริษัท ซึ่งจดทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์ ดังนั้นการจดทะเบียนจึงต้องใช้สำเนาใบทะเบียนการค้า หรือสำเนาใบรับรอง หรือสำเนาใบ ภ.พ. 20 เป็นหลักฐาน
- โดเมน นามสกุล .OR.TH ใช้ทำเว็บไซต์ของส่วนราชการ และชื่อโดเมนต้องเป็นชื่อขององกร หรือตัวย่อของชื่อองค์กรนั้นๆ ต้องใช้สำเนาเอกสารทางราชการเป็นหลักฐานการจดทะเบียน
- โดเมน นามสกุล .AC.TH เป็นเวบไซตืของสถานศุกษาต่างๆ ชื่อของโดเมนที่จดทะเบียนต้องเป็นชื่อของสถานศึกษานั้นๆ หรือชื่อย่อของชื่อสถานศึกษา ใช้สำเนาเอกสารการขออนุญาตก่อตั้งสถานศึกษาเป็นหลักฐาน
- โดเมน นามสกุล .IN.TH เป็นเวบไซต์ของบุคคลธรรมดาโดยทั่วไป ชื่อโดเมนจะใช้ชื่ออะไรก็ได้ ใช้สำเนาบัตรประชาชน หรือสำเนาใบขับขี่เป็นหลักฐานการจดทะเบียน
- โดเมน นามสกุล .GO.TH เป็นเวบไซต์ของส่วนราชการของประเทศไทย โดยปกติจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่
- โดเมน นามสกุล NET.TH เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับบริษัทที่เกียวกับระบบ Network หรือ ISP (ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต) ในประเทศไทย
- การจดทะเบียนโดเมนภายในประเทศ มีกฏระเบียบมาก ต้องจดทะเบียน โดเมน แบ่งประเภทตามที่เขาแบ่งไว้ จึงจดทะเบียน โดเมน ได้ยากกว่าการจดทะเบียน โดเมน ต่างประเทศ ปัจจุบันการจดทะเบียน โดเมน ภายในประเทศ ยังถือว่ามีน้อยมาก เนื่องจากการจดทะเบียน โดเมน มีข้อยุ่งยากดังที่กล่าวข้างต้น และมูลค่าของเว็บไซต์มักจะถูกมองว่ามีค่าน้อยกว่าการจดเบียน โดเมน ที่มีนามสกุลเป็น".COM" กับศูนย์จดทะเบียน โดเมน ต่างประเทศ ทั้งๆ ที่มีความสามารถเหมือนกัน
- การจดทะเบียนโดเมนต่างประเทศ
- การจดทะเบียนโดเมนต่างประเทศจะได้นามสกุล โดเมน เป็น .COM .NET .ORG
- โดเมน นามสกุล .COM ใช้ทำเว็บไซต์ของบริษัท ห้างร้านโดยทั่วไป รวมทั้งเว็บไซต์ส่วนตัว และมีบางครั้งนำไปใช้ทำเว็บไซต์ (web site) ประเภทอื่นๆ ด้วย
- โดเมน นามสกุล .NET ใช้ทำเว็บไซต์เกี่ยวกับระบบเน็ตเวิร์ค (network) ของคอมพิวเตอร์ หรือเว็บไซต์บริการอินเตอร์เน็ต แต่บางครั้งก็นำไปใช้ด้านอื่นด้วย
- โดเมน นามสกุล .ORG ใช้ทำเว็บไซต์ของส่วนราชการ บางครั้งก็มีการจดทะเบียนนำไปใช้กับเว็บไซต์ประเภทอื่นด้วย
- ปัจจุบันได้เกิด โดเมน ชนิดอื่นขึ้นอีกมากมาย เนื่องจากว่ามีการพยายามแบ่งประเภทเว็บไซต์ออกไป และขณะเดียวกันชื่อ โดเมน ก็เหลือน้อยลง ดังมีรายละเอียดดังนี้
- โดเมน นามสกุล .cc เป็น โดเมน ที่คาดว่าน่าจะมีความนิยมทัดเทียมกับ .com ในเวลาอันใกล้นี้เนื่องจาก .com แทบจะไม่มีชื่อดีๆ เหลืออยู่แล้ว การนำไปใช้งานสามารถนำไปใช้กับเว็บไซต์ธุรกิจโดยทั่วไปได้
- โดเมน นามสกุล .biz สำหรับเว็บไซต์ธุรกิจโดยทั่วไป เป็น โดเมน น้องใหม่ พึงเกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มธุรกิจที่เป็น ธุรกิจจริงๆ ซึ่งก็ได้รับความสนใจและเป็นที่รู้จักค่อนข้างเร็ว
- โดเมน นามสกุล .info ใช้สำหรับเว็บไซต์ที่ให้รายละเอียดเกียวกับข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลของประเทศต่างๆ เป็นต้น
- โดเมน นามสกุล .ws เป็นชนิดของชื่อเว็บไซต์หนึ่งที่พยามยามสร้างขึ้นมาเพื่อแข่งขันกับ .cc การนำไปใช้งานสามารถนำไปใช้ได้กับทุประเภทเว็บไซต์
- โดเมน นามสกุล .tv เป็นเว็บไซต์ของสื่อโฆษณาต่างๆ โดยเฉพาะสื่อทางด้านภาพและเสียง ปัจจุบันค่อนข้างได้รับความนิยมจากเว็บไซต์ประเภทสื่อพอสมควร
กลับหน้าหลัก...คลิกเลย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)